ไม่เคยอยากพูดให้เสียกำลังใจ
แต่คงเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องตระหนักไว้เสมอ
เป็นสิ่งที่ผมเคยเขียนแล้ว และขอเขียนอีกครั้งว่า “ความเป็นไปได้ที่จะเกิดความรุนแรง มีอยู่ทุกชั่วขณะจิต”
ความรุนแรงเกิดขึ้นได้ เพราะฝ่ายอำนาจเขาพยายามจะสร้างเงื่อนไขให้เกิดอยู่ตลอดเวลา เพราะมันเป็นอำนาจอาวุธเป็นอำนาจที่สามารถสยบได้ฝ่ายตรงข้ามที่ไม่มีทางต่อสู้ได้ราบคาบที่สุด
ตลอดมาฝ่ายอำนาจใช้วิธี “กำจัด” มาตลอด ในขณะที่ฝ่าย ปชช ใช้วิธี “เรียกร้อง”
มาจนถึงวันนี้ ยังไงเขาก็ยังมีอาวุธอันดับหนึ่งเป็นการ “กำจัด”
เพียงแต่การ “กำจัด” ไม่ใช่ตัวเลือกแรก
มันเป็น ultimate
มันต้องรอเวลา รอสถานการณ์ที่สุกงอม สร้างสถานการณ์ สร้างวาทกรรมให้มั่นคงจนถึงที่สุด
สิ่งที่เขารอคือ “ความชอบธรรม” เพราะยังไงเขาก็อยากเล่นบทคนดี
ใน ปวศ ที่ผ่านมา เขาก็รอวันที่ความชอบธรรมของฝ่ายต่อต้านอำนาจตกต่ำที่สุด
ซึ่งวิธีการ ก็คือ เหมือนวันนี้เลย
คือการ ใส่ร้าย สร้างข้อหา สร้างวาทกรรมความมั่นคง เรื่องรัฐ เรื่องเจ้า
จนวันที่ภาพของฝ่ายต่อต้านไม่ว่าจะเป็น นศ ประชาชน หรือ เหตุการณ์เสื้อแดงต่ำลงจนถึงจุดที่กระแสในสังคมบอกว่า การทำร้ายคนเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ถูก
.
พอถึงจุดนี้เมื่อไหร่ ความรุนแรงก็กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
แน่นอน เรารู้ดีว่า วันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน
เขาใช้ความรุนแรงยากขึ้น เพราะวันนี้ความชอบธรรมไม่อยู่กับเขา แต่ถามว่า มีความเป็นไปได้ไหม มันมี
ช่วงนี้พวกหัวฝ่ายขวา เริ่มเรียกหาความรุนแรงอย่างหน้าด้านๆมากขึ้น คนอย่างสุเทพ เหรียญทอง หรือ แม้แต่ดี้ ก็เริ่มเรียกร้องให้ทำ “อะไรบางอย่าง” หรือ “ใช้มาตรการณ์ทางกฎหมาย”
การทำอะไรบางอย่างนี่แหละ น่ากลัว
เพราะมันเป็นคำพูดที่กำกวมที่สุด และมอบความชอบธรรมให้การใช้ความรุนแรงในใจของคนเหล่านี้ต้องการ “กำจัด” ฝ่ายตรงข้ามไปให้พ้นหูพ้นตา ดังนั้นความรุนแรงคือ สิ่งที่เขาเฝ้ารอ
แต่เขาใช้คำว่า ทำอะไรบางอย่างสักที ก็คือการเผื่อช่องให้ตัวเองยังคงเป็นคนดีว่า ฉันไม่ได้สนับสนุนความรุนแรงนะ บางอย่างที่ฉันอยากให้ทำ ไม่ใช่สิ่งนั้น สิ่งนี้
แต่ถ้าจะทำ ฉันก็ไม่ขัดขวางหรอก
หรืออย่างดีก็แค่พูดว่า “ฉันไม่เคยเห็นด้วยกับความรุนแรง”
ณ วันนี้ฝ่ายขวาเขากำลังพยายามเรียกร้อง และสร้างวาทกรรมว่า รัฐ “ควรทำอะไรสักอย่าง” กับผู้ชุมนุม นั่นคือ หนึ่งในใบเบิกทางที่จะนำไปสู่ความรุนแรง
เหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2563
คือ สิ่งที่ทุกคนเห็นเป็นประจักษ์ว่า เขาพยายามสร้างเงื่อนไขมากแค่ไหน
ไม่ว่าจะการปลุกมวลชนมาปะทะกันการเริ่มใช้ความรุนแรงก่อน
การปรับขบวนเสด็จให้มาปะทะกับม๊อบ
ทุกอย่างคือ การสร้างข้ออ้าง
สิ่งที่เขาหวังก็คือ เมื่อวันที่เราพลาด และข้ออ้างนั้นมันสมเหตุสมผล อย่างน้อยก็สมเหตุสมผลสำหรับเขา
เมื่อนั้นเขาก็พร้อมเสมอที่จะใช้ความรุนแรง
การสลายการชุมนุมเมื่อวาน ก็เป็นลักษณะเดียวกัน
รอให้ผู้ชุมนุมอ่อนแรง รอให้ทุกอย่างมันซา แล้วก็เริ่มใช้กำลังเข้าปราบ
การปราบในครั้งนี้ หนึ่งคือ สร้างความกลัวในการเข้าร่วมชุมนุม
สองคือ สร้างสถานการณ์กลายๆว่า ความรุนแรงมันมีอยู่ประปราย
.
.
ถ้าการชุมนุมยังจะคงแนวทางนี้ต่อไป
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เราจะสามารถอดทนจนถึงที่สุดได้
เพราะการรักษาความชอบธรรมของการชุมนุม เป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของเราในขณะนี้
การต่อสู้โดยเรียกร้อง การต่อสู้โดยไม่สร้างความรุนแรง เป็นอาวุธ เป็นข้อต่อรองเดียวที่ทำให้เรายังสามารถเคลื่อนไหวได้
แต่จริงๆไม่อยากพูดแบบนี้เลย เพราะการพูดแบบนี้ มันคือ victim blaming
เรารู้อยู่แล้วว่า เราเป็นฝ่ายที่ชอบธรรมแน่นอน
การใช้ความรุนแรง คือ ฝ่ายที่ผิด
ฝ่ายที่ก่ออาชญากรรม คือ ฝ่ายที่ใช้ความรุนแรง
แต่ในเชิงวาทกรรม เชิงหลักการ เราสามารถพูดแบบนั้นได้
แต่ฝ่ายขวาเขาไม่เคยสนหลักการ เพราะงั้นเขาขอแค่อ้างได้ว่า ชุมนุมมีความรุนแรง แค่นี้การตอบโต้ความรุนแรงด้วยความรุนแรง ก็เพียงพอในโลกของเขา
.
สถานการณ์ตอนนี้เปราะบางอย่างมาก
ต่อให้เราใช้ชีวิตปกติ เราก็รู้ได้ถึงความตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา
เราในฐานะประชาชนมือเปล่า เรารู้สึกเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา
ฝ่ายเรามีคนที่ต้องจ่ายไปในราคาที่สูงหลายต่อหลายคนแล้ว
สิ่งเดียวที่ผมขอ คือ อยากขอให้ทุกคนอดทน
และเดินเคียงข้างกันไปจนถึงวันที่มันคลี่คลาย
เราไม่รู้ว่า หลังจากนี้เราจะชนะหรือไม่
แต่เราก็ยังคงก้าวไปด้วยกัน
แม้เราจะรู้อยู่เต็มอกว่า ความเป็นไปได้ที่จะชนะมันช่างน้อย
แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้คือ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
หลังจากนี้สังคมจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
.
สังคมไทยในปี 2019 กับ 2021 จะต่างกันจนเรายังสงสัยว่า เวลาเพียงแค่ ปีกว่า มันเกิดอะไรขึ้น
ปี 2020 นี้เกิดอะไรขึ้นมากมาย ทุกเหตุการณ์มัน critical ซะจนมันเปลี่ยนประวัติศาสตร์สังคมไทยจากหน้ามือเป็นหลังมือ
.
อย่างน้อยที่สุด
ในวันนี้ ผมเชื่อสุดหัวใจว่า เวลาอยู่ข้างเราจริงๆ
ยังไงวันนึงเราต้องชนะ